ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จุดความจริง

๑ พ.ย. ๒๕๕๒

 

จุดความจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้จะเป็นวันทอดกฐินนะ วันนี้เป็นวันบุญ เราจะมาทำบุญกุศลกัน บุญกุศลมันเกิดขึ้นมาจากอะไร บุญกุศลเห็นไหมประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเราเป็นคนที่มีวุฒิภาวะอ่อนมาก เราจะทำบุญตามแต่กระแส เวลาหน้ากฐินเราก็ทำ เพราะกฐินปีละหนเดียว แต่คนที่วุฒิภาวะเขาสูงเห็นไหม เขาจะทำบุญกันเป็นปกติ

หลวงปู่ฝั้นบอกว่า คนเราเกิดมานี่ มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก แล้วก็หายใจทิ้งเปล่าๆไง คนถ้ามีบุญกุศลนะ ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ เห็นไหม เราทำบุญอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเลย ทำไมเราต้องมาทำบุญวันกฐิน วันปกติเราทำบุญไม่ได้หรือไง เราทำบุญได้ตลอดเวลา แม้แต่ลมหายใจเข้า และลมหายใจออก มีสติระลึกรู้อยู่ นี่คือการทำบุญกุศล เพราะมันเป็นภาวนา เห็นไหม

ทาน ศีล ภาวนา การภาวนาจะเกิดปฏิภาณไหวพริบ เกิดบุญกุศล เห็นไหม เพราะเกิดปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาของใคร ปัญญาของใคร มันเป็นปัญญาของโลก ปัญญาทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นปัญญาของธรรม มันลึกลับมหัศจรรย์กว่าทางโลกที่จะรู้ได้ ทางโลกรู้ได้ด้วยวิทยาศาสตร์เท่านั้น

แต่ถ้าทางธรรมมันทะลุเข้าไปถึงหัวใจนะ เพราะหัวใจคืออะไร หัวใจนี่ ปฏิสนธิจิตนี่ มันทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี่ แล้วมนุษย์ลืมมัน มนุษย์ลืมมัน มนุษย์รู้แต่ความเป็นชีวิตของปัจจุบันนี้ แต่มนุษย์ไม่รู้ว่าเรามาจากไหน มาจากพ่อจากแม่ เห็นไหม

แต่ถ้าทางธรรมนะ มาจากกรรม เพราะพ่อแม่มีลูก ลูกในครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่นะมีลูกหลากหลายมาก ทำไมนิสัยของลูกไม่เหมือนพ่อแม่ทุกๆคนล่ะ ทำไมนิสัยของลูกมันเหมือนตามประสาลูกที่มันเป็นล่ะ นั่นน่ะพันธุกรรมทางจิต พันธุกรรมของเขาๆได้ทำของเขามา แต่เขามาเกิดเป็นลูกเป็นเต้าเรานี่ มันเป็นดีเอ็นเอ เป็นกรรมพันธุ์ มันพิสูจน์ได้ทางโลก พิสูจน์ได้ทางเลือดเนื้อเชื้อไขไง แต่มันพิสูจน์ทางพฤติกรรมไม่ได้ไง พฤติกรรมว่าพ่อแม่ดี ทำไมลูกมันเป็นอย่างนั้นละ พ่อแม่ปานกลาง ลูกมันดีกว่าพ่อแม่นะ ลูกนี่มันถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ นี่เห็นไหม

สิ่งต่างๆ ที่เราเกิดๆ บนอะไร พุทธศาสนาสอนที่ไหน ถ้าพุทธศาสนาสอนนะ คำว่า พุทธศาสนา เห็นไหมประเพณีวัฒนธรรม วันนี้เป็นงานบุญเห็นไหม บุญประเพณีวัฒนธรรม มันจะทำที่ไหนล่ะ วัตถุข้าวของนี่นะโรงงานอุตสาหกรรมมันผลิตได้มากกว่านี้อีก ไปดูโกดังสินค้าสิ ไปดูท่าเรือคลองเตยสิ มันเต็มไปหมดเลย นี่มันเป็นบุญไหม มันไม่เป็นสิ่งใดเลย มันเป็นวัตถุธาตุ

แต่เพราะคนเรา มันมีประเพณีวัฒนธรรม เราจะต้องการบุญกุศล เราอุตส่าห์ทุกข์ยากเหนื่อยยากหาอยู่หากินมา เราเอาพลังงานของเราไปแลกเปลี่ยนมา แล้วหัวใจเป็นคนที่ปรารถนา หัวใจนี่เป็นคนเอามันมาเห็นไหม บุญมันเกิดที่ใจนะ หัวใจที่มีแรงปรารถนา ถ้าหัวใจมันไม่ทำนะ หัวใจไม่ต้องการนะ มีมากมีน้อยขนาดไหน มันก็กองอยู่นั่นนะ มันมาเองไม่ได้

แต่ถ้าหัวใจมีแรงปรารถนา มันพามาได้หมดเลยเห็นไหม นี่ ประเพณีวัฒนธรรมเขาฝึกตรงนี้ ฝึกให้เป็นประเพณีวัฒนธรรม ฝึกเป็นกระแส แล้วเราก็ทำบุญตามกระแสไง ที่ไหนคนเยอะๆ ที่ไหนมีคนมากๆ ที่นั้นจะเป็นที่ดี มันดีจริงรึเปล่า มันดีจริงไหม มันดีจริงไม่จริงถามตัวเองรู้ดี ใจเรารู้ดี จะมีคนมากคนน้อยไม่สำคัญ สำคัญว่าถูกต้องรึเปล่า มันถูกต้อง มันเป็นความจริงรึเปล่า

ดูสิ เวลาทางโลกเห็นไหม ทางวิทยาศาสตร์ เขาไปพิสูจน์อวกาศกันนะ เขาไปสำรวจดวงจันทร์กัน นี่ ! โลกคิดกันอย่างนั้น ไปสำรวจดวงจันทร์ ไปสำรวจดาวอังคาร แต่ไม่มีใครไปสำรวจดวงอาทิตย์นะ ดวงอาทิตย์ไม่มีใครไปสำรวจนะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปสำรวจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เข้าไปหาดวงอาทิตย์ เพราะดวงอาทิตย์เป็นพลังงาน แต่ถ้าทางโลกเข้าไปถึงดวงอาทิตย์นะ มันจะโดนเผาไหม้หมดเลย แต่เราต้องการความสุขความเรียบง่ายใช่ไหม เราไปสำรวจดวงจันทร์ใช่ไหม ดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ มันไม่มีพลังงาน

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เข้าไปสำรวจดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์คือปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันมีพลังงานของมัน แล้วพลังงานมันเกิดมาได้อย่างไร ในเมื่อพลังงานมันเกิดมาจากไหน พลังงานปฏิสนธิจิต พุทโธๆๆ นี่ มันจะเข้าไปสู่พลังงานนั้นไง มันลำบากไหม มันลำบาก เรากล้าเข้าไปเผชิญกับดวงอาทิตย์ไหม เราจะเอายานอวกาศเข้าสู่ดวงอาทิตย์ไหม ไม่มีใครคิดจะเข้าไปเลย ไม่มี

ถ้าไปดวงจันทร์ ชอบ ดูจิตดูกายมันสบาย แหม ดวงจันทร์มันให้ผลร่มเย็นเป็นสุข เข้าไปหาดวงอาทิตย์มันร้อน มันแผดเผา แต่ดวงอาทิตย์มันเป็นตัวพลังงานนะ จักรวาลนี้มันอยู่ที่ไหน แม่เหล็ก จุดดึงดูดของโลกอยู่ที่ไหน จุดดึงดูดของจักรวาลอยู่ที่ไหน จุดของคนเกิดคนตายอยู่ที่ไหน ปฏิสนธิจิต เกิดกับพ่อกับแม่เกิดโดยสายบุญสายกรรม แต่ถ้าจิตไม่มีกรรมมันจะมาเกิดไหม

เขาทำโคลนนิ่งกันมันมาจากไหน ถ้าจิตมันไม่มา มันมาจากไหน แล้วหาจิตเจอไหม จิตหาเจอไหม ถ้าจิตหาเจอนะ พุทโธๆๆ นี่ เราเข้าไปสู่พลังงานนั้น มันจะลำบากไหม มันจะลำบาก เพราะนี่มันเป็นตัวพลังงาน นั่นเป็นความจริงนะ ดวงจันทร์ โลกต่างๆมันเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์มันเป็นแกนของจักรวาล

เวลาเกิด กามภพ รูปภพ อรูปภพ เราเกิดในวัฏฏะนี่ ชีวิตเรานี่นะ ถ้าพูดถึงว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ เห็นไหมชีวิตนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ชีวิตนี้เป็นสวะอันหนึ่ง เพราะมันเป็นผลของวัฏฏะ วัฏฏะคือ รูปภพ กามภพ อรูปภพ แล้วเราเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ มันไหลหมุนเวียนไป ชีวิตนี้เหมือนสวะอันหนึ่ง แต่สวะที่มีคุณค่าเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า นี่มนุษย์สมบัติ ถ้ามนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ ใครเกิดเป็นมนุษย์ จิตเกิดเป็นมนุษย์ จิตเกิดเป็นมนุษย์แล้วจิตดวงนั้นมันมีร่างกายบีบคั้นมันเห็นไหม

เรามาศึกษาธรรมะเพราะอะไร เพราะเรามีทุกข์ แล้วถ้าไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะรู้ได้อย่างไร ใครจะกล้าเข้าไปเจอกับดวงอาทิตย์บ้าง มีแต่คนวิ่งหนีมัน แล้วเขาไปเสนอว่าดวงจันทร์ร่มเย็นนะ ก็ชอบ ดวงจันทร์ร่มเย็นเป็นสุข ดวงจันทร์มีพลังงานไหม ถ้าดวงจันทร์ไม่มีพลังงานปัญญาเกิดได้อย่างไร มันจะเกิดได้อย่างไร มันก็เป็นโลกียปัญญาไง เป็นปัญญาวิทยาศาสตร์ไง แล้วก็คิดเอาเองไง ว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง

วิทยาศาสตร์โดยที่วิทยาศาสตร์คิด แต่ธรรมะมันเหนือวิทยาศาสตร์ ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็นวัฏฏะ การเกิดและการตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความทุกข์ความยากก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความเป็นอยู่ของเราก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง นี่ไง ชีวิตนี้เป็นสวะไง สวะเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็น สวะเป็นผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายนี้เป็นผลของวัฏฏะ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้

แล้วสิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติล่ะ ทำไมมันถึงเหนือธรรมชาติ ถ้าไม่เข้าไปสู่ดวงอาทิตย์นั้น ไปทำลายศูนย์กลางของจักรวาลนั้น ถ้าไม่ได้ทำลายศูนย์กลางของจักรวาลนั้น อย่ามาคุยเรื่องแก้กิเลส ไม่ต้องมาคุย ! ไม่ต้องมาคุย ! แต่ถ้ามันจะทำลายกิเลสได้ มันต้องเข้าไปสู่ดวงอาทิตย์นั้น เห็นไหม มันจะเป็นสมาธิอบรมปัญญา หรือจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันก็อยู่ที่ความสามารถของคน ถ้าไม่เข้าสู่สมาธิมันเป็นโลกียปัญญา

ปัญญาอย่างนี้ไอน์สไตน์เขารู้นะ เขาเห็นนิพพานนะ แต่เขาไม่รู้จักใช้นิพพาน ไอน์สไตน์ไม่เคยเห็น ไอน์สไตน์เขารู้ถึงวิทยาศาสตร์ ถึงทฤษฎีสัมพันธ์ แต่เขาไม่รู้จักจุดระเบิด จุดที่มันระเบิดขึ้นมาเขาเห็นไม่ได้ เห็นไหม อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ ปัจจยาการของมัน ใครเห็น นี่ปัจจยาการ ที่ว่าพุทธพจน์ๆ พุทธพจน์น่ะปัจจยาการของพุทธพจน์ใช่ไหม ขันธ์ ๕ เป็นขันธ์

ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นความคิด ไม่ใช่จิต ตัวจิตเป็นตัวปัจจยาการ ตัวจิตไม่ใช่ขันธ์ ตัวจิตเป็นปัจจยาการ ตัวปัจจยาการถ้าใครไม่เคยเห็นจิต ตัวนั้นจะไม่เข้าใจเรื่องจิต ไม่เข้าใจเรื่องจิตเลย แต่คำพูดพุทธพจน์ๆ พุทธพจน์คือพุทธวิสัยนะ ปัญญาของพุทธวิสัยนี่กว้างขวางมาก ปัญญาของพุทธวิสัย นี่คืออจินไตย ๔

พุทธวิสัยเห็นไหม พุทธวิสัยคือปัญญาของพระพุทธเจ้า ไอ้เราสาวกสาวกะเทียบไม่ได้หรอก พุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ บัญญัติด้วยพุทธวิสัย พุทธวิสัยนี้มันจะละเอียดลึกซึ้งมาก ไอ้พวกเราพวกสาวกสาวกะ แค่เข้ารู้ตามได้ก็สุดยอดแล้ว ไม่ต้องไปเห็นก็อบปี้ของพุทธพจน์หรอก พุทธพจน์นั่นแหละ ใช่ พุทธพจน์ เราเคารพไหม ถ้าเราไม่เคารพพระพุทธเจ้า เราจะเป็นชาวพุทธไหม

ถ้าชาวพุทธเนรคุณ ชาวพุทธไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเป็นชาวพุทธได้ไหม ชาวพุทธต้องกตัญญูกตเวทีกับบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของเราเป็นผู้ที่มีปัญญา บรรพบุรุษของเรานับถือศาสนาพุทธ แล้ววางพุทธศาสนาไว้ พุทธศาสนาให้เราเมตตากัน ให้เราเจือจานกันเห็นไหม นี่พูดถึงความเมตตา แล้วพูดถึงเมตตาแล้วทำไมพูดกันรุนแรงขนาดนี้ล่ะ มันออกมาจากหัวใจ มันอัดอั้นตันใจว่าเรามีธุระกับโยมไง

เวลาเรามาวัดเห็นไหม นุ่งขาวห่มขาว สงบเสงี่ยมเรียบร้อย นกกระยางเห็นไหม มันยืนนิ่งเลยนะ อย่าเผลอนะ มันจิกมั้บ มั้บ เลยนะ อีแร้งมันกินของเน่านะ อีแร้งทางวิทยาศาสตร์เขาทำวิจัยแล้ว ว่าอีแร้งมันรักษาสภาวะโลกร้อน สิ่งใดที่เป็นเศษ สิ่งใดที่เป็นขยะ อีแร้งมันเก็บกินหมดเลยเห็นไหม แล้วเราก็รังเกียจว่าอีแร้งมันเหม็น อีแร้งไม่น่าเข้าใกล้ แต่อีแร้งมันมีคุณประโยชน์กับโลกนะ เพราะอะไร

ถ้าโลกมันเปลี่ยนแปลงเห็นไหม มันเปลี่ยนแปลงแล้ว อีแร้งถึงได้อาหารของมัน เพราะสัตว์มันตาย แต่นกกระยางเห็นไหม ถ้าโลกไม่มีความร่มเย็น มันจะมีปลาไหม สิ่งแวดล้อมไม่ดี มันจะมีสัตว์น้ำไหม มันต้องมีสิ่งแวดล้อมที่ดี มันถึงจะมีสัตว์ให้มันกินเห็นไหม มันตักตวงผลประโยชน์ทั้งหมดเลย แต่มันนุ่งขาวห่มขาวนะ มันสงบเสงี่ยมนะ อีแร้งนี่นะ มันทำลายทุกอย่าง ทำลายโลก สภาวะโลกหมดเลย นี่ เราไปมองแต่กิริยามารยาทไง เรามองสัจจะความจริงไหม อะไรที่เป็นสัจจะความจริง

นี่เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราไม่กล้าหรอก เราไม่ยอมเป็นอีแร้งกันไง เป็นอีแร้งไม่ได้ โลกนี้จะติเตียนมาก เพราะอีแร้งมันเหม็น เข้าที่ไหนไม่ได้เลย จะเป็นนกกระยางไง ยืนนิ่ง อย่าเผลอนะ เผลอมั้บ เผลอมั้บ เลย

นี่ไง เราคิดกันอย่างไร เพราะพูดถึงบอกว่าให้ปล่อยว่าง ปล่อยว่าง มันปล่อยวางจริงได้ไหม กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย สักแต่ว่าไม่ใช่ของเรา สักแต่ว่าทั้งนั้น สักแต่ว่าใครเป็นคนพูด สักแต่ว่านี่แฟนมึงกูขอได้ไหม แฟนมึงกูขอ แฟนมึงก็สักแต่ว่าแฟนมึง กูขอได้ไหม มึงให้ไหม มึงไม่ให้ แต่ถ้าเป็นสักแต่ว่าข้างนอกนี้ สักแต่ว่านะ แต่ถ้าเป็นของกูนี่ไม่สักแต่ว่าหรอก เวลาสอนเขา นั่นก็สักแต่ว่านะ อันนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา แฟนมึงกูขอ กูขอเลย สักแต่ว่าไม่ใช่ของมึง สักแต่ว่ากูขอ ไม่มีใครให้นะ

เราจะบอกว่ากิเลสมันอยู่ที่ใจ คำพูดที่ว่าทุกอย่างสักแต่ว่า ให้ปล่อยวาง ปล่อยวางนี้ พอปล่อยวางแล้วเป็นโสดาบัน หุ่นยนต์มันก็เป็นโสดาบันแล้ว ไปดูหุ่นยนต์โรงงานนะ มันประกอบเครื่องยนต์มันก็ปล่อย จับแล้วก็ปล่อย จับแล้วก็ปล่อย หุ่นยนต์ในโรงงานเป็นพระโสดาบันหมดเลย ไอ้พวกเรานี่มีแต่กิเลสหนา หุ่นยนต์โรงงานมันจับแล้วก็ปล่อยเห็นไหม มันจับแล้วก็ปล่อย จับแล้วก็ปล่อยออกมาเป็นรถยนต์ ออกมาเป็นเครื่องยนต์กลไกนะ มันไม่มีชีวิต

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเปรียบเทียบเป็นบุคคลาธิษฐานเพื่อย้อนกลับมาที่หัวใจ ให้เห็นเป็นรูปแบบ แต่เราก็ไปติดกันที่บุคคลาธิษฐานที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอ้างอิงมาให้เห็นภาพนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทวนกระแส จิตมันจะทวนกระเข้าไปสู่ใจของมันได้ มันต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน มันถึงจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นกันอยู่นี้เขาเรียกว่าโลกียปัญญา เป็นปัญญาทางวิทยาศาสตร์ เป็นปัญญาทางโลก เป็นวิชาชีพ ปัญญาอย่างนี้ฆ่ากิเลสไม่ได้หรอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้วนะว่า สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา สุตมยปัญญาเป็นการศึกษาเล่าเรียน จินตมยปัญญาเป็นการจินตนาการ แต่มีสมาธิอยู่ด้วยมันจะลึกซึ้งมาก ภาวนามยปัญญาไม่เคยเห็น

ถ้าใครเคยเห็นภาวนามยปัญญา อย่างเช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของเราทุกข์ยากมาก สร้างฐานะมาเพื่อให้เราร่มเย็นเป็นสุข คุ้มครองเรา เลี้ยงชีวิตเรามา พ่อแม่เราทุกข์มาขนาดไหน พ่อแม่บอกว่าลูกอยู่สบายๆ ลูกไม่ต้องไปทำอะไรกินเลย เดี๋ยวลูกจะเป็นเศรษฐี มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ความเพียรชอบ ในอริยมรรคนะ นี่ ดำริชอบ ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรม แต่มันเป็นความชอบของกิเลส ความชอบของเราว่านี่คือการภาวนา เอาการภาวนามาเป็นการันตีในชีวิตของเราว่าเราเป็นคนดี เราเป็นโสดาบัน

มันมีคนมาถามเยอะมาก ติดโสดาบันมา ๔ ปี ๕ ปี เป็นโสดาบัน เกร็ง กลัวจะไม่เป็นโสดาบัน เดี๋ยวนี้กูทิ้งหมดแล้ว มันไม่เป็นโสดาบันจริง เข้ากระแส ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มันจะเข้าถึงกระแสนี้ ใครเป็นคนเข้ากระแส จิตนี้เป็นตัวเกิดตัวตายใช่ไหม ปฏิสนธิจิตพามาเกิดให้เป็นมนุษย์นั่งกันอยู่นี้ แล้วก็หาตัวเองไม่เจอ รู้แต่ว่าเกิดจากพ่อแม่ แต่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน พ่อแม่ก็เกิดมาจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็เกิดมาจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็เกิดมาจากพ่อแม่ แล้วมันสิ้นสุดกันที่ไหน มันไม่มีที่สิ้นสุด

แล้วจิตนี้มาจากไหน เวลามันเกิดมันเกิดอย่างไร ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในโอปปาติกะ นี่กำเนิด ๔ กำเนิด ๔ ของจิตมันเกิดอย่างไร แล้วถ้าเราไม่ทำความสงบของใจ สัมมาสมาธิ ถ้ายังจับไม่ถึงตัวใจ ตัวใจคือตัวจิต จิตหนึ่งคือนิพพาน ไม่ใช่

จิตหนึ่ง คือสัมมาสมาธิ หรือมิจฉาสมาธิ นิพพานคือเอโกธรรมโม ธรรมอันเอกไง เห็นไหม ธรรมเอก ธรรมหนึ่งเดียว ธรรมหนึ่งเดียว หลวงตาบอกว่า ธรรมธาตุ ธรรมธาตุนะ นี่ บอกจิต จิตคือภพ ใครมีจิตเห็นไหม ดูโลกนี้เป็นความว่าง

“ โมฆราช เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ ”

เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วถอนไอ้ตัวที่รู้ว่าว่าง เราก็บอกนู่นก็ว่าง นี่ก็ว่าง ในโอ่งก็ว่าง ในไหก็ว่าง ในที่ไหนก็ว่าง ความว่างในโอ่งในไหมันได้ประโยชน์ไหม ความว่างในโอ่งในไหมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วเราก็บอกว่าจักรวาลนี้ว่าง ใครพูด ใครพูด ใครพูดว่าจักรวาลนี้ว่าง จักรวาลนี้ว่างก็จักรวาลมันเป็นนิพพานไง แต่กูไม่เป็นเพราะกูพูด ถ้าจักรวาลมันว่างก็มันว่างของจักรวาล เราเกี่ยวอะไรกับจักรวาล ก็กูยืนอยู่นี่

แต่ถ้าเราทำสัมมาสมาธิเข้ามา จิตมันสงบเข้ามานะ มันจะรู้จักตัวมันเองนะ แล้วมันจะสังเวชมากเพราะความสงบของใจ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธินี่สงบลงชั่วคราว สงบชั่วคราวขนาดไหน มันก็สงบลงชั่วคราวเล็กน้อย แล้วก็ออก ถ้าเรากำหนดพุทโธ หรือเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมากเข้า มันจะเข้าไปอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิแค่นี้ มันเข้าไปแล้วนี่ อุปจาระคือวงรอบของจิต จิตพอเข้าสงบถึงตัวมันเองแล้ว มันออกรับรู้ ออกรู้แสวงหา วิปัสสนาจะเกิดตรงนี้

แต่เขาบอกว่า “พอใช้ดูกายดูใจแล้วมันจะเข้าอัปปนาสมาธิ แล้วปัญญามันจะเกิดเอง มันจะเป็นอัตโนมัติ มันจะเกิดโดยฉับพลัน” อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ อัปปนาสมาธิมันเป็นสักแต่ว่ารู้ อัปปนาสมาธิมันเหมือนกับรวมใหญ่ รวมใหญ่เกิดปัญญาไม่ได้ เวลาเริ่มต้นก็ปฏิเสธสมาธิมาก่อน กำหนดพุทโธ กำหนดปัญญาอบรมสมาธินี่มันจะเป็นสมถะ มันจะเกิดนิมิต มันทำให้เนิ่นช้าเสียเวลา คนเกิดมาแล้วนี่ภาวนาเป็นทั้งชาติ แล้วก็ไม่เคยวิปัสสนาสักที ปฏิเสธสมาธินะ

แต่ในมรรค ๘ มันมีสัมมาสมาธิไง ในเมื่อมันขาดสัมมาสมาธิไม่ได้ ก็บอกว่าดูกาย ดูจิต แล้วจิตมันจะลงอัปปนาโดยอัตโนมัติ เผลอปั๊บสติมาเอง เผลอปั๊บ ขับรถนี่พอหลับในปั๊บสติมาเองเลย ตายอยู่กลางถนนนั่นนะ เผลอปั๊บสติมาเอง จะต้องกำหนดจำให้รู้นะ สภาวะจำ จำจนแม่น จำก็สัญญา สัญญาเกิดปัญญาไม่ได้ สัญญาคือสัญญา สภาวะจำเกิดปัญญาไม่ได้ สภาวะจำเป็นธรรมชาติ จิตนี้เป็นยางเหนียว เอาจิตนี้ไปแปะอะไรก็ติดสิ่งนั้น สัญญามันอยู่กับจิต จิตไปนึกอย่างไรมันก็เป็นข้อมูลของจิต ไม่ใช่ตัวจิต ไม่ใช่ตัวจิต สัญญาเป็นเครื่องเกิดจากจิต

ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดจากจิตไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต ความคิดไม่ใช่จิต จิตเป็นจิต ความคิดเป็นความคิด จิตเป็นพลังงาน จิตเหมือนกระแสไฟฟ้า เราเห็นกระแสไฟฟ้าเคลื่อนไหวมาไหม เราไม่เห็น เพราะเรามองไม่เห็นด้วยตา แต่ถ้ากระแสไฟฟ้านี้เข้าไปในเครื่องใช้กำเนิดไฟฟ้า แล้วเครื่องใช้ไฟฟ้าแสดงตัวออกมา เราจะเห็นว่าใช้ ไฟฟ้านี้เข้าไปทำอุตสาหกรรม เข้าไปในคอมพิวเตอร์ เข้าไปในสิ่งต่างๆ มันจะใช้ประโยชน์ของมันแต่ละอย่างใช่ไหม

จิตเป็นพลังงาน ความคิดเป็นขันธ์ ๕ ความคิดเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ สัญญาคือโปรแกรมของมัน สังขารปรุงแต่ง วิญญาณรับรู้ ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมันชำรุดเสียหาย มันจะใช้งานไม่ได้ เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นปกติสมบูรณ์ดี มีพลังงานคือตัวใจ ไฟวิ่งเข้ามามันเกิดมีโปรแกรม มีสัญญาเข้ามา มันจะเกิดความคิดขึ้นมา ความคิดไม่ใช่จิต

ดูจิต ดูจิตนี้ มันดูที่ความคิดไม่ใช่ดูจิต เขาบอกว่าดูจิตให้มันสงบเข้ามา สงบเข้ามา สงบเข้ามา ถ้าสงบเข้ามาต้องรู้จักสัมมาสมาธิ ถ้าคนรู้จักสัมมาสมาธิจะไม่บอกว่าปัญญาเกิดที่อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ อัปปนาสมาธิมันเป็นสักแต่ว่ารู้ อัปปนาสมาธิจิตมันจะหดตัวเข้ามา แยกเลย เวลานั่งสมาธิไปมากๆ เวลารวมใหญ่ กายกับจิตจะแยกจากกันโดยสมาธิ กายกับจิตจะแยกกันโดยสมาธิ เพราะจิตมันจะหดตัวเข้ามาเป็นตัวของมัน มันไม่รับรู้เรื่องกายเลย มันไม่รับรู้เรื่องกายเลย มันอยู่ของมัน

พอไม่รับรู้เรื่องกายมันสัมผัสกับอะไร มันสัมผัสกับอะไร ตัวจิตเฉยๆ มันสัมผัสกับอะไร ไฟฟ้า สายไฟนี่เราจิ้มลงดินไปเลย มันจะเกิดประโยชน์กับเราไหม ไฟฟ้านี่ สายไฟมันขาดแล้วลงดินไปเลย มันจะเป็นโทษกับคนที่เดินเข้าไปใกล้ๆ มันจะตาย ไฟฟ้าถ้าบางเส้น สายไฟมันขาดลงดินไป ในบ้านเรามีไฟฟ้าใช้ไหม จิตถ้ามันเป็นอัปปนาสมาธิมันจะเป็นตัวของมัน มันไม่เข้าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ไม่มีการกระทบ ไม่มีการเกิดปัญญา ปัญญาเกิดไม่ได้ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้

ตรงนี้มันถึงฟ้องว่าทำวิปัสสนา ทำสมาธิไม่เป็นไง ถ้าคนทำเป็น เราทำเป็นนี่ เราบอกเกลือหวานที่ไหนมี มีแต่น้ำตาลหวาน เกลือเค็ม แต่บอกว่าเกลือหวานน้ำตาลเค็มนี่ มันก็น่าแปลกอยู่เห็นไหม มันเป็นสิ่งที่แปลกนะ นี่พูดถึงว่าความเป็นไปของชีวิต ความเป็นไปของธรรมะไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ให้เราเข้าเผชิญกับดวงอาทิตย์นะ ต้องเข้าไป เผชิญกับดวงอาทิตย์ เพื่อเอาพลังงานในดวงอาทิตย์นั้น ในพระจันทร์ไม่มีพลังงาน ในจิตของเรามีพลังงาน ความคิดไม่มีพลังงาน เราจะเอาพลังงานที่ดวงอาทิตย์ หรือเราจะเอาพลังงานที่ดวงจันทร์

ถ้าเราจะเอาพลังงานที่ดวงอาทิตย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ เทวดานุสติเห็นไหม อัฐินี่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว คำบริกรรม ทำไมถึงต้องท่องคำบริกรรม โดยปกติธรรมชาติของเรา ธรรมชาติของมนุษย์มีความคิดไง มีสัญญากับจิต มันเป็นของคู่

หลวงตาบอกว่าคนเรามีของคู่ ทุกอย่างเป็นของคู่ ของคู่คือความคิดเรามันคู่มากับจิต เป็นสัญชาตญาณ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เทวดามีขันธ์ ๕ พรหมมีขันธ์ ๑ พรหมไม่มีความคิด พรหมอยู่เฉยๆ นี่ นรกอเวจีมันอยู่ของมันอย่างไร นี่ ! กำเนิด ๔ ของจิต จิตที่มันอยู่ในวัฏฏะ มันวนในวัฏฏะ มันเข้าใจวัฏฏะหมด

มนุษย์มันมีความคิดกับจิตโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของความคิดอันนี้มันสกปรก เพราะคิดโดยอวิชชา คิดโดยตัณหาความทะยานอยาก คิดโดยจริตนิสัย พ่อแม่พี่น้องคิดไม่เหมือนกันเลย ปัญหาเกิดขึ้นปัญหาหนึ่งเถียงกันทั้งบ้านเลย จะแก้ไขปัญหาอย่างไรเถียงกันทั้งบ้านเลย ทำไมคิดไม่เหมือนกัน ทำไมความคิดไม่เหมือนกัน เห็นไหม

จิตกับความคิด ในเมื่อความคิดไม่เหมือนกัน ความคิดที่มันมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนี้ มันเป็นความคิดสกปรก มันเป็นความคิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในพญามาร มารมันครอบงำอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้พุทโธๆๆๆ พุทโธเป็นความคิดไหม เป็น เป็นความคิด เพราะเราวิตกขึ้นมา จิตมันนึกพุทโธขึ้นมา ถึงได้ วิตก วิจาร ปิติ สุขเอกัคคตารมณ์ เราไม่วิตกขึ้นมา เราก็จะไม่มีพุทโธ เรามีแต่ความคิด เพราะความคิดเป็นสัญชาตญาณ เพราะความคิดมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่พุทโธไม่เคยมี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า ให้เรากำหนดพุทโธๆๆ เห็นไหม เปลี่ยนความคิดที่ชั่วๆนี่ให้มาคิดพุทโธ ความคิดชั่วๆ ความคิดของอวิชชา ความคิดโดยมารนี่ ให้มันมาคิด พุทโธๆๆ พุทโธมันจืด พุทโธมันเป็นน้ำจืดสะอาด แต่เราชอบกินต้มยำ เราไม่ชอบกินน้ำเปล่า น้ำเปล่ามีคุณค่า น้ำเปล่ามีประโยชน์มาก พุทโธๆๆ พุทโธนี้มันจะรีไซเคิลความคิดชั่วๆ ให้มันสะอาดได้

ถ้ามันสะอาดขึ้นมาเห็นไหม มันสะอาดที่ไหน เพราะใครเป็นคนนึก พุทโธ จิตวิตก วิจารขึ้นมา มันเกิดจากจิตใช่ไหม เวลาสงบมันสงบที่ไหน มันสงบที่จิตใช่ไหม ดูจิต ดูความคิด เวลาความคิดดับมันไปไหนล่ะ ว่าง หายไปหมดเลยไง มันเลยตัดรากถอนโคนถึงตัวจิตไง มันเลยปฏิเสธดวงอาทิตย์ไง ดวงอาทิตย์ร้อน ดวงอาทิตย์นี้เป็นพลังงานเผาผลาญ ดวงอาทิตย์ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

แต่ดวงอาทิตย์ให้ชีวิตนะ ดวงอาทิตย์ให้ชีวิตพวกเรา ให้อาหาร ให้พลังงาน ให้ทุกอย่างเลยเห็นไหม จิตเรานี้มันมีของมันอยู่ แต่มันยังไม่เป็นประโยชน์ใช่ไหม เราต้อง พุทโธๆๆ ของเราเข้าไป จนเข้าไปถึงพลังงานนี้ ดวงอาทิตย์เห็นไหม มันแผดเผา มันทำให้เราเกิดโรคใช่ไหม เราก็กรองมัน ทำให้มันสะอาด เหมือนน้ำที่สะอาดใช่ไหม พอน้ำสะอาดเราใช้ประโยชน์อะไรก็ได้ใช่ไหม

จิตถ้ามันสงบเข้ามา จิตสงบเห็นไหม จิตออกวิปัสสนานี่มันมีจิต มันมีพลังงานจากดวงอาทิตย์ออกวิปัสสนา ออกวิปัสสนาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมนี่ ที่เขาบอกว่าสักแต่ว่า สักแต่ว่านี้ สักแต่ว่านี่มันเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า เป็นคำพูดของพระอรหันต์ พวกเราสักแต่ว่าแต่ปาก ใจมันไม่สักแต่ว่าหรอก จิตใต้สำนึกมันไม่ยอมสักแต่ว่ากับเราหรอก อุปาทานฝังในหัวใจไม่มีทางสักแต่ว่า

เราสักแต่ว่าเพราะเราเป็นชาวพุทธ ประเพณีวัฒนธรรมเราฟังธรรมมา ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา เกิดมาก็ต้องตายหมด ร้องไห้ไหมเวลาตายน่ะ เวลาตายคอตกไหม พอไปโรงพยาบาลเขาบอกว่าอีก ๕ วันตาย เดินไม่ถูกเลยนะ เดินออกจากโรงพยาบาลไม่เป็นเลย ไหนว่าไม่ใช่ของเราไง มันเป็นคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องทำให้เป็นอย่างนั้นก่อน เราถึงจะเป็นจริง แต่นี่เราไปก็อบปี้มา มันไม่จริงหรอก นี่มันไม่จริง

เราพูดนี่เรามีธุระกับโยม มีธุระเพราะว่าเราต้องการบอกว่าโยมนี่เกิดมามีชีวิตเหมือนเรา เกิดมาในวัฏฏะเหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วเกิดมาพบพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เราควรจะศึกษาให้มันเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร แล้วมันเป็นความจริงอย่างไร กาลามสูตร พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าพูดนะ ไม่ให้เชื่อใครๆพูดทั้งสิ้น ให้พิสูจน์กับตัวเราเอง

ทุกคนก็บอกว่าได้พิสูจน์แล้วไง เมื่อก่อนเป็นคนชั่วมากเลย เดี๋ยวนี้พอไปภาวนาหน่อยเป็นคนดีหมดเลย มันดีเพราะอะไร มันดีเพราะกระแสไง อย่างพวกเราปกตินี้ เป็นคนที่มีปัญหากับตัวเองมาก แต่ถ้าเรามากรองชีวิตของเราเองนะ พอเราเปลี่ยนโปรแกรม คือเปลี่ยนความคิด เราก็จะดีขึ้นมาในตัวเอง แต่ดีชั่วขณะเท่านั้น เพราะมันดีที่ความคิด มันยังไม่ได้ดีที่จิตใต้สำนึก การที่จะดีที่จิตใต้สำนึกจิตนี้ จิตมันต้องสงบเข้าไปก่อน

เราจะบอกว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อรหัตตผลทำไมไม่เป็นนิพพานนะ เพราะอรหัตตผลมันยังมีการสัมปยุต วิปปยุต ยังมีการกระทำอยู่ ไง ขณะมีการกระทำอยู่นี่ จิตมันเปลี่ยนแปลงอยู่

พระพุทธเจ้ายังบอกว่า ถ้าอรหัตตผล ผลมันต้องตอบสนองมาคือเป็นขณะจิต แล้วขณะจิตที่ว่าเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลนี่ พอขณะจิตมันขาดไปแล้วนี้ ขาดแล้วก็ขาดเลย ไม่ใช่ขาดไปแล้วกลับมาประกบอีก ไม่มี คำว่าขาดเลยเห็นไหม มันเป็นอกุปปธรรม นี่ไง ธรรมะเหนือธรรมชาติตรงนี้ไง

ถ้าเป็นธรรมชาติ จิตนี้มันเป็นธรรมชาติ มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปตามแรงขับ แรงขับดีแรงขับชั่วนี้ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ทุกคนเสมอภาคกันหมดเลย แต่พอเป็นพระโสดาบันปั๊บ จิตนี้แรงขับนี้ไปแค่อีก ๖ ชาติเท่านั้น อีก ๖ ชาติ มันต่างกันตรงนี้เห็นไหม สกิทาคามี ๓ ชาติ พระอนาคาไม่เกิดในวัฏฏะอีกแล้ว แต่ไปเกิดบนพรม นี่มันเหนือธรรมชาติไง เพราะมันไม่ไหลไปกับธรรมชาติอีกแล้วไง มันไม่แปรปรวนตามแต่อุณหภูมิ มันคงที่ของมันอยู่แล้ว

แล้วพอเราพิจารณาไป โสดาปัตติผลเวลามันขาดแล้วนี่ มันจะกลับมาประกบได้อย่างไร ถ้ามันกลับมาประกบนะ นางวิสาขายังไม่เป็นโสดาบันเพราะอะไร นางวิสาขาพิจารณาแล้ว ปล่อยวางแล้ว แต่นางวิสาขายังไม่เป็นพระอรหันต์ใช่ไหม ก็ต้องเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคา แล้วจะไปตัดกันที่พระอรหันต์ อย่างนั้นโสดาบัน สกิทา อนาคา มันก็เหลวไหลนะสิ โสดาบัน สกิทา อนาคา มันก็พลิกไปพลิกมาอย่างนี้เหรอ นี่ไง มันไม่จริงสักอย่างหนึ่งไง

เรามีธุระกับโยม เพราะว่าเราจะพูดถึงธรรมะ แล้วบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกให้เราเข้าไปเผชิญกับดวงอาทิตย์ เผชิญกับพลังงานอันนั้น เปลี่ยนพลังงานอันนั้นให้เป็นพลังงานที่สะอาด จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

พลังงานสะอาด มันผ่องใส มันเป็นอวิชชา มันยังเกิดอยู่นะ จะผ่องใส จะว่างขนาดไหน มันยังต้องเกิดทั้งนั้น แต่เราเอาพลังงานที่มันเป็นให้มันผ่องใสก่อน ให้มันสะอาดบริสุทธิ์ก่อน พุทโธๆๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ทำสมาธิให้ได้ มีหลักมีฐานก่อน แล้วเราค่อยออกไปวิปัสสนา ใช้พลังงานนั้นเอามาใช้เพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม มันให้ชีวิต ให้ประโยชน์ทุกๆอย่างเลย

นี่พูดถึงพุทธศาสนา เรามีธุระกับโยม แล้วเราก็พูดจบแล้ว พูดไว้เป็นแง่คิด เราพูดให้เป็นแง่คิดถึงศาสนา เพราะอย่างที่พูด เราก็เกิดกับโยมนี่แหละ โยมก็เกิดเป็นมนุษย์ เราก็เกิดเป็น มนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เทวดาเขาอวยพรกันนะ เวลาเทวดาจะตาย เทวดาเขากินทิพย์ กินแสง พลังงาน พอแสงมันเริ่มเฉาลง เทวดาเขาอวยพรกัน ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วพบพุทธศาสนา ได้ทำบุญกุศลขึ้นมา เพื่อได้เกิดเป็นเทวดาอีกไง

แต่พอเราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราไม่อยากเกิดเป็นเทวดาใช่ไหม เราอยากจะสิ้นจากทุกข์กันไปเลยเห็นไหม เรามีคุณค่ามากกว่าเห็นไหม นี่ โยมก็เกิด เราก็เกิดแล้วได้พบพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ทำให้มันจริงขึ้นมา ไม่ต้องเชื่อใครเลย กาลามสูตร พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ไม่ให้เชื่ออาจารย์ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อพลังงาน เชื่อการกระทำในหัวใจ เชื่อตรงนั้น แล้วถ้าโยมปฏิบัติเป็นนะ มาคุยกับเรา

ถ้าเรากับโยมผิดกัน โยมบอกว่าเรานี่ผิดได้เลย เรานี้สอนผิด เพราะโยมถูก ถ้าโยมปฏิบัติได้แล้วนะมาเช็คได้ ของอย่างนี้มันเช็คได้ อริยสัจมีหนึ่งเดียว พระโสดาบัน พระสกิทา พระอนาคา พระอรหันต์อันเดียวกันหมด ไม่มีความแตกต่างเลย แตกต่างเฉพาะจริตการกระทำ แต่ผลนี้ไม่มีแตกต่าง

โยมมีอาชีพหลากหลายมานะ แบงก์พันแต่ละใบนี้แตกต่างกันไหม แบงก์พันของ เกษตรกร แบงก์พันของกรรมกร แบงก์พันของพ่อค้า แบงก์พันของข้าราชการ แตกต่างกันไหม แตกต่างกันไหม ไม่มีทาง ธรรมะมีหนึ่งเดียว พิสูจน์ได้ ตรวจสอบได้ ผิดต้องมาคุยกัน เหตุกับผลมารวมลงเป็นธรรม อย่าเอาสีข้างเข้าถู มันหลากหลายวิธีการ มันอยู่ที่จริตนิสัย มันไม่เหมือนกัน อย่าโม้ อย่าโม้ เอาความจริงมาพูดกัน

ถ้าเราเป็นสุภาพบุรุษ เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม เรายังไม่จริงจังกับเรา เรายังไม่กล้ารับความจริง แล้วเราจะปฏิบัติได้อย่างไร ในเมื่อเรายังเล่ห์เหลี่ยม เรายังปลิ้นปล้อนในใจของเราเอง มันจะมีศีลตรงไหน ศีลมันต้องเกิดขึ้นจากความสะอาดบริสุทธิ์ของใจก่อน แล้วเรามาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า อย่าเอาอารมณ์

นี่ไม่ใช่อารมณ์นะ กำลังตะเบ็งอยู่นี่ อย่าเอาอารมณ์ความรู้สึก เอาสีข้างเข้าถู เอาเหตุเอาผล เอาเหตุเอาผลใช่ไหม เราจะเอาความจริงกัน เราเป็นชาวพุทธนะ นี่พลังมันขับ มันขับออกมาจากความรู้สึก มันเศร้าใจ มันเศร้าใจไม่ใช่เศร้าใจที่เรานะ มันเศร้าใจกับพุทธศาสนา เศร้าใจกับพุทธศาสนา แล้วชาวพุทธเห็นไหมขนโคกับเขาโค ขนโคมันมากกว่าเขา แล้วเราก็เชื่อขนกัน แล้วเราก็ไหลไปตามขนกัน เขามีอยู่ ๒ เขา มันไม่ใช่หน้าที่ของเราเลย มันไม่ใช่ความจำเป็นของเราต้องพูดเลย แต่เราทนไม่ได้ เอวัง